ArmaFlex Class1

ArmaFlex Class 1 เป็นผลิตภัณฑ์ในเครือของ Armacell ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและวิจัยพัฒนา ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของประสิทธิภาพและ มีการควบคุมคุณภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากเอกสารรับรองที่จะเป็นเวอร์ชั่นใหม่อยู่ตลอด เพราะองค์กรณ์ที่ออกเอกสารรับรองนั้นมีความเข้มงวดในเรื่องของการควบคุมมาตรฐานทั้ง FM APPROVE และ UL

ฉนวนยางดำ Armaflex Class1 เป็นฉนวนยางสังเคราะห์ชนิด NBR มีช่วงอุณหภูมิการใช้งานอยู่ที่ -50 – 105 องศาเซลเซียส ด้วยอุณหภูมิการใช้งานที่ค่อนไปทางอุณหภูมิต่ำ ฉนวนยางดำจึงนิยมใช้ในระบบงานเย็น เช่นงานระบบปรับอากาศ งานท่อน้ำดี หรือ งานจำพวกห้องแช่แข็ง ต่างๆ

ในด้านคุณสมบัติของพลังงาน ฉนวนยางดำต่างเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นวัสดุฉนวนที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ด้วยค่าการนำความร้อนที่ต่ำมาก อยู่ที่ 0.032 – 0.039 [ W/m.K ]

ด้วยคุณสมบัติของเนื้อยาง Armaflex Class 1 ที่เป็นยางชนิด NBR ถ้าลองสังเกตที่บริเวณเซลล์ของยางดำจะเห็นว่าเซล์แต่ละเซลล์มีขนาดเท่ากันในทุกเซลล์ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าทุกๆเซลล์จะมีคุณสมบัติเท่ากันทั้ง ความสามารถในการต้านทานความร้อน การป้องกันไอน้ำ ความยืดหยุ่นหรือแม้กระทั่งสีของยาง

ความสามารถในการต้านทานไอน้ำ หรือพูดง่ายๆว่า ยอมให้ไอน้ำผ่านตัวเนื้อฉนวนได้เท่าไหร่ ถ้าไอน้ำซึมเข้าไปได้เยอะ ก็จะทำให้เนื้อยางเกิดความชื้นภายในและสิ่งที่ตามมาก็คือ สนิม ( Rust ) ก็จะเกิดเป็นปัญหาตามมาอีกในเรื่องของ การกัดกร่อนใต้ฉนวนกันความร้อน ( CUI หรือ Corrosion Under Insulation )

จากที่เรารู้กันว่าฉนวนยางดำจะมีโครงสร้างแบบเซลล์ปิดทำให้การผ่านของไอน้ำมันน้อยมาก และสิ่งที่จะช่วยยืนยันว่าเรื่องที่เรารู้นั้นเป็นความจริงแค่ไหนคือ มาตรฐานการทดสอบ

ก่อนที่เราจะรู้ว่าฉนวนเราดีจริงมั้ยเราต้องรู้จัก “ ค่าความต้านทานการแพร่ของไอน้ำ ( Water Vapor diffusion resistance factor ) หรือ ค่ามิว ” ยิ่งค่าตัวนี้มากเท่าไหร่หมายความว่าวัสดุนั้นไอน้ำจะผ่านได้น้อยตามไปด้วย

• ก้อนอิฐ : μ = 14.28
• แผ่นคอนกรีต : μ = 76
• แผ่นเหล็กสแตนเลส : μ = 1000
• ฉนวนยางดำ Armaflex Class1 : μ = 10000

ค่านี้ถูกทดสอบด้วยองค์กรณ์ EN ( European Standard ) ด้วยมาตรฐาน DIN EN 13469 ( มาตรทดสอบฉนวนกันความร้อนชนิดท่อสำหรับอาคารเพื่อหาคุณสมบัติการซึมผ่านของไอน้ำ ) และ DIN EN 12086 ( มาตรฐานการทดสอบฉนวนกันความร้อนสำหรับอาคารเพื่อหาคุณสมบัติการซึมผ่านของไอน้ำ )

วัสดุที่นำมาใช้ในอาคารจะค่อนข้างซีเรียสในเรื่องของการลามไฟ วัสดุฉนวนที่มีการลามไฟหรือติดไฟจะถูกห้ามใช้ในอาคารขนาดใหญ่หรืออาคารสูง เพราะวัสดุที่ลามไฟจะทำให้การควบคุมเพลิงทำได้ยาก และเพลิงไหม้จะกระจายไปทั้งอาคารอย่างรวดเร็ว

มาตรฐานที่เห็นกันส่วนใหญ่คือ BS 476 Part 7 ที่เป็นมาตรฐานการทดสอบวัสดุในการลามไฟ ฉนวนกันความร้อนที่ได้รหัสของ Class1 จะต้องผ่านมาตรฐานของ BS 476 Part 7

ความสามารถในเรื่องการป้องกันไฟของ Armaflex Class1 เรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างพิเศษ เพราะฉนวนยางดำทุกชนิดของ Armacell จะได้รับการทดสอบ FM Approved ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทำการทดสอบในระบบงานจริงไม่ใช่เพียงการนำตัวอย่างวัดุมาเผาไฟเท่านั้น

FM Approved เกิดจากการรวมกลุ่มของบริษัทประกันภัยซึ่งจะให้การรับรองกับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบเกี่ยวกับเพลิงไหม้ อย่างในงานฉนวนท่อยางดำทาง FM จะทำการนำฉนวนยางดำมาหุ้มท่อและวัดปริมาณการเผาไฟ

ถ้าการเผาไฟไม่เกินระยะที่กำหนดก็จะได้ผ่านมาตรฐาน FM และข้อดีอีกอย่างของการได้รับ FM Approved คือการเสียค่าเบี้ยประกันภัยก็จะลดลง อย่างที่บอกว่า FM เป็นองค์กรณ์ที่เกิดจากการรวมกลุ่มของบริษัทประกันภัย ดังนั้นถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก FM ก็จะเสียค่าเบี้ยประกันลดลงนั่นเอง

มาตรฐาน UL 94 จะเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบวัสดุพลาสติกเกี่ยวกับความสามารถในการติดไฟและการลามไฟของพลาสติก จะจำแนกประเภทของการติดไฟและการลามไฟ จากระดับต่ำสุด ( สารหน่วงไฟน้อยสุด ) ถึงระดับสูงสุด ( สารหน่วงไฟมากที่สุด ) โดยแบ่งประเภทตามนี้

• HB : ทดสอบการเผาไหม้แบบแนวนอน : อัตราการเผาไหม้น้อยกว่า 76 มม/นาที ความหนาชิ้นงานน้อยกว่า 3 มม
• V-2 : ทดสอบการเผาไหม้แบบแนวตั้ง : การเผาไหม้หยุดภายใน 30 วินาที อนุญาติให้มีหยดดไฟได้
• V-1 : ทดสอบการเผาไหม้แบบแนวตั้ง : การเผาไหม้หยุดภายใน 30 วินาที ไม่อนุญาติให้มีหยดไฟได้
• V-0 : ทดสอบการเผาไหม้แบบแนวตั้ง : การเผาไหม้หยุดภายใน 10 วินาที ไม่อนุญาติให้มีหยดไฟได้
• 5VB: ทดสอบการเผาไหม้ที่ผิวชิ้นงานทดสอบ : การเผาไหม้หยุดภายใน 60 วินาทีไม่อนุญาติให้มีหยดไฟ ตัวอย่างทดสอบอาจะมีรอยไหม้ทะลุ หรือมีรูได้
• 5VA : ทดสอบการเผาไหม้ที่ผิวชิ้นงานทดสอบ : การเผาไหม้หยุดภายใน 60 วินาทีไม่อนุญาติให้มีหยดไฟ ตัวอย่างทดสอบไม่มีรอยไหม้ทะลุ หรือไม่มีรู

ArmaFlex Class1 อยู่ในระดับของ UL 94 V-0 ที่การเผาไหม้ของวัสดุหยุดได้เองใน 10 วินาทีและไม่เกิดหยดไฟใด

คุณสมบัติของฉนวนยางดำชนิด NBR นั้นไม่ทนรังสียู ในกรณีที่หุ้มฉนวนภายนอกอาคารควรหุ้มแจ็คเก็ตทับ ถ้าไม่ได้หุ้มแจ็กเก็ตประมาณ 1 อาทิตย์ตัวฉนวนจะเริ่มแตกลายงา ส่วนฉนวนยางดำ EPDM จะทนรังสี UV ได้มากกว่าจะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือนและจะเริ่มแตกลายงาเหมือนกัน

เนื่องจากฉนวนเป็นฉนวนยางดำจึงไม่มีเส้นใยและไม่มีส่วนผสมของฟอลมัลดีไฮน์ ( Formaldehyde ) ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ปล่อยสารอินทรย์ระเหย จำนวนน้อย ( Low Volatile Organic Compounds : VOC )

โดยได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบัน UL ( Underwriters Laboratory ) ในมาตรฐาน UL 2818-2013 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่จำกัดการปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย ( VOC ) ของผลิตภัณฑ์สู่บรรยากาศภายในอาคาร เพื่อควบคุมคุณภาพของอากาศในอาคาร ( Indoor Air Quality ) ให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้นโดยการลดสารเคมี ( Chemical Emissions )

สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่เป็นเมกะเทรนด์ ( MEGA Trend ) ในโลกยุคปัจจุบันดูได้จากก่อนหน้านี้ในยุคอุตสาหกรรมเราใช้พลังงานหลักเป็นน้ำมันที่เป็นราชาของพลังงานทั้งหมด แต่ก็ส่งผลกระทบมากมายกับสิ่งแวดล้อมทั้งสภาวะโลกร้อน การสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด ความต้องการพลังงานจึงเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ยุคพลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาด เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และ พลังงานอื่นๆอีก

เราจะเห็นได้ว่าสังคมในปัจจุบันนั้นเริ่มให้ความสำคัญกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น วัสดุต่างๆ เริ่มมีการจำกัดการใช้วัสดุที่มีผลในการทำลายธรรมชาติ เช่น ถุงพลาสติก หรือ การปรับเปลี่ยนสารทำความเย็นของแอร์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกจากนั้น Armaflex Class1 ยังได้ขึ้น “ ฉลากเขียว SGBP ” จาก SGBC ( Singapore Green Building Council ) ซึ่งให้การรับรองผลิตภัณฑ์ว่าผ่านเกณฑ์ที่ครอบคุม 5 ประเด็นนี้

1. การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ( Energy Efficiency )
2. การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ( Water Efficiency )
3. การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ( Resource Efficiency )
4. ด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ( Health & Environmental Protection )
5. ด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ( Other Green Features )

มาตรฐานทางด้านสิ่งแวดล้อมอีกอย่างหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือ ISO Enviroment Standard ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท

• ISO 14024: 1999 Environmental labels and declarations (Type I Environmental labeling)
• ISO 14021: 2016 Environmental labels and declarations (Type II Self-declared environmental claims)
• ISO 14025: 2006 Environmental labels and declarations (Type III Environmental declarations)

TYPE I :
เป็นฉลากสิ่งแวดล้อมโดยความสมัครใจ โดยผลิตภัณฑ์ต้องผ่านการทดสอบด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งพิจารณาจาก วัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Consideration) โดยมีบุคคลที่ 3 เป็นผู้ให้การรับรอง

TYPE II :
เป็นฉลากที่ผู้ผลิตสินค้าหรือบริการให้การรับรองตนเอง ว่าผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

TYPE III :
เป็นฉลากที่ให้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ ภายใต้องค์กรอิสระที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยเกณฑ์ต้องเป็นไปตามหลักการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตัวอย่างเช่น EPD (Environmental Product Declaration)

” EPD เป็นเหมือน ฉลากที่บอกส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ “ ว่าตั้งแต่กระบวนการผลิต จนกระทั่งกระบวนการย่อยสลาย ว่าผลิตภัณฑ์มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง จะมีการคำนวณจากวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment; LCA) จากมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอิสระที่มีข้อมูลอย่างโปร่งใส แม่นยำ และครบถ้วน